โศกนาฏกรรมในมาริอูโปล
Inในมาริอูโปลการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซียเริ่มต้นเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 5 นาฬิกากองกำลังรัสเซียเริ่มทิ้งระเบิดทำลายล้างมาริอูโปล ระเบิดเหล่านี้ไม่ได้กำหนดเป้าหมายเฉพาะที่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารตามที่ปูตินอ้าง อันที่จริงรัสเซียเริ่มการระดมยิงในเขตที่อยู่อาศัยในมาริอูโปลเกือบจะในทันทีในเช้าวันนั้น
ในชั่วโมงแรกของการรุกราน กองกำลังรัสเซียได้ทำลายบ้านส่วนตัวไป 8 หลังและโจมตีอาคารสูงอีก 12 แห่งด้วยเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องในเขตที่อยู่อาศัย “สคิดนี” ของเมือง ในช่วงสองสามชั่วโมงแรกนั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 33 คน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร พวกเขาเป็นประชาชนที่สงบสุข นอนหลับในบ้านของพวกเขาในมาริอูโปลและหมู่บ้านตาลาคีฟกาที่อยู่ใกล้เคียง
การต่อต้านและการปกป้องมาริอูโปลที่แข็งแกร่งของยูเครนน่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับกองกำลังรัสเซียที่รุกรานเข้ามา เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ความพยายามของชาวรัสเซียถูกกองกำลังยูเครนผลักกลับอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นกองกำลังรัสเซียเริ่มใช้นโยบายโลกที่ไหม้เกรียมเพื่อทำลายล้างทั้งหมดเพื่อพยายามปกป้องเมือง
สถานการณ์ในมาริอูโปลแสดงให้เห็นว่านีี่เป็นแผนการที่กองบัญชาการทหารรัสเซียเตรียมไว้ล่างหน้า
การปิดล้อม
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม กองกำลังรัสเซียเสร็จสิ้นการปิดล้อมเมืองมาริอูโปล ในเวลาเดียวกันนั้นพวกเขาเริ่มจงใจทำลายโครงสร้างพื้นฐานของเมือง โกดังอาหารเป็นเป้าหมายที่แรก เป้าหมายเพื่อจำกัดการเข้าถึงเสบียงอาหารที่สำคัญของประชาชน
ก่อนการรุกราน ทางการเมืองได้เริ่มกักตุนอาหารไว้เป็นมาตรการฉุกเฉิน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกจัดเก็บไว้สองแห่งในเมืองคือ ในอาณาเขตของเทศบาล “โคมูนาลนุค” และที่ตลาดกลางมาริอูโปล
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม แน่นอนเลยที่โดยเฉพาะโกดังอาหารตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังรัสเซียและผลที่ตามมาคือโกดังถูกทำลายจนหมดสิ้น
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม กองกำลังรัสเซียที่บุกโจมตีได้กำหนดเป้าหมายไปยังจุดที่เข้าใช้สายไฟฟ้าทั้งหมด 15 จุดในเมือง ทำให้มาริอูโปลไม่มีไฟฟ้าใช้และอยู่ในความมืด หากไม่มีไฟฟ้า โรงต้มน้ำของเมืองก็หยุดทำงานเช่นกัน ทำให้ประชาชนมาริอูโปลไม่ได้รับความอบอุ่นในสภาพอากาศหนาวเย็น และในวันเดียวกันนั้นเองกองกำลังรัสเซียได้ทิ้งระเบิดที่ช่องทางการจ่ายน้ำดื่มหลักและแหล่งจ่ายเสริม ทำให้น้ำถูกตัดไปทั้งเมือง
2 มีนาคม ภาพ: มสติสลาฟ เชร์โนฟ
ในความพยายามที่จะลงโทษและเอาชนะประชาชนมาริอูโปล กองกำลังรัสเซียได้ตั้งเป้าไปที่แผนกดับเพลิงหลักของมาริอูโปลเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินปกป้องทรัพย์สินภายใต้การยิงของรัสเซีย
และในที่สุดช่วงวันที่เลวร้ายและยาวนานเช่นนี้ก็มาถึง ชาวรัสเซียทิ้งระเบิดท่อส่งแก๊สหลัก ทิ้งให้มาริอูโปล (และเมืองใกล้เคียงอื่น ๆ รวมทั้งเบร์ดยันสก์) ปราศจากแก๊สหุงต้มหรือให้ความร้อน
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม กองกำลังรัสเซียกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นระบบและทำลายหอคอยสื่อสารเคลื่อนที่ของเมืองเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนติดต่อสื่อสารระหว่างกันหรือกับทางยูเครน
2 มีนาคม ภาพ: เยฟเกนีย์ มาโลเลียตกา
ดังนั้นการปิดล้อมมาริอูโปลที่โหดร้ายและป่าเถื่อนได้เริ่มต้นขึ้น รัสเซียจงใจใช้กลยุทธ์ในการกำจัดและทำลายประชาชนพลเมืองมาริอูโปลอย่างเหยียดหยาม พวกเขาสร้างหายนะด้านมนุษยธรรม ทิ้งให้เมืองไม่มีน้ำ, ความร้อน, แสงสว่าง และสัญญาณโทรศัพท์ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อเข้าถึงผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความช่วยเหลือ
ก่อนการรุกรานของรัสเซีย ผู้คนครึ่งล้านอาศัยอยู่ในมาริอูโปล ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบเมืองที่ใหญ่ที่สุดของยูเครน นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่กองกำลังรัสเซียจะสามารถปิดล้อมเมืองได้สำเร็จ ผู้อยู่อาศัยประมาณ 100,000 คนสามารถหลบหนีไปได้ ผู้ที่ไม่สามารถหรือเต็มใจที่จะจากไปพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นฝันร้ายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน, ความตาย และการทำลายล้าง
“เราอยู่ในเมืองต่อเพราะเราเชื่อในความสามารถการป้องกันของเมือง เราเชื่อมั่นในมันมากจนถือว่าทุกคนที่ทิ้งมาริอูโปลเป็นคนทรยศ แต่เราคิดผิด ไม่มีใครจินตนาการถึงสิ่งที่เริ่มต้นในภายหลัง เราเห็นสงครามในปีพ.ศ. 2557 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่แค่สงคราม แต่เป็นการทำลายล้าง
การทำลายล้างประชาชนพลเมือง บ้านเราไม่มีกองบัญชาการทหาร, ฐานทัพ ฯลฯ มีแค่ลานธรรมดาของอาคารสูง แต่ขีปนาวุธโจมตีบ้านฉัน และที่แย่ที่สุดคือการโจมตีทางอากาศ ความน่ากลัวนี้อธิบายไม่ได้เลย แล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงดังกล่าวด้วย มันทำให้ความมุ่งมั่นของคุณเป็นอัมพาต คุณตระหนักว่าคุณต้องช่วยลูกของคุณและตระหนักว่าคุณไม่มีอำนาจใด ๆ เลย” พลเมืองมาริอูโปล คาเทรินา อิลเชนโกกล่าว
เราเห็นสงครามในปีพ.ศ. 2557 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ใช่แค่สงคราม แต่มันคือการทำลายล้าง การทำลายล้างประชาชนพลเมืองมาริอูโปล
พลเมืองมาริอูโปล คาเทรินา อิลเชนโกกล่าว
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม เป็นที่ชัดเจนว่าผู้อยู่อาศัยที่เหลือในมาริอูโปลจำเป็นต้องอพยพทันที ปัญหาการอพยพเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างการเจรจาระหว่างยูเครนและรัสเซีย แต่ฝ่ายรัสเซียปฏิเสธที่จะให้ทางเดินเพื่อมนุษยธรรม
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงในการหยุดยิงและเส้นทางสำหรับผู้อพยพออกจากเมือง อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้มีอายุสั้น ๆ โอเล็กซานเดอร์และอัคซานา ทั้งคู่มาจากมาริอูโปลได้เห็นการโจมตีทีโหดร้ายของรัสเซียต่อขบวนรถของประชาชน เมื่อพวกเขาเริ่มเดินทางจากห้างสรรพสินค้าระหว่างทางออกจากเมือง ในขณะที่แถวเริ่มเคลื่อน กองกำลังรัสเซียได้เปิดฉากยิงจากเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง (เรียกว่า “กราด” มีความหมายว่าลูกเห็บ) บนยานพาหนะของประชาชน
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม เครื่องบินรบรัสเซียเริ่มการระดมระเบิดใส่เมือง ก่อนหน้านี้เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องของรัสเซียเป็นตัวทำลายล้างเบื้องต้น แต่ตอนนี้ระเบิดหนักและขีปนาวุธถูกปล่อยลงมาจากเครื่องบินรบรัสเซีย ทำให้อาคารและแฟลตต่าง ๆ พังทลายลงไป อาคารที่ยังคงตั้งอยู่ตอนนี้เป็นเพียงแค่โครงสร้างอาคาร ซึ่งพังยับเยินจากไฟที่เกิดจากการระเบิดของรัสเซีย
ในวันนั้นรัสเซียมุ่งเป้าไปที่มหาวิทยาลัยเทคนิคและสถานผดุงครรภ์ประจำเมืองมาริอูโปล ภาพการทำลายล้างจากการทิ้งระเบิดเหล่านี้มีให้เห็นทั่วโลก
สิ่งสำคัญคือต้องเน้นว่าผู้นำของรัสเซียยอมรับอย่างเป็นทางการว่าทหารของพวกเขาตั้งเป้าไปที่สถานผดุงครรภ์ โดยอ้างว่ามันถูกใช้เป็นฐานสำหรับสิ่งที่เรียกว่า “นาซียูเครน” (เรื่องเล่าเท็จทั่วไปที่เผยแพร้โดยนักโฆษณาชวนเชื่อชาวรัสเซีย)
ภาพบาดใจสื่อสารได้ด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่ฐานทัพทหารและเหยื่อก็ไม่ใช่ทหาร พวกเขาเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ นั่นคือสตรีมีครรภ์หนัก ทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด ความโหดร้ายของรัสเซียในการก่ออาชญากรรมสงครามและการโฆษณาชวนเชื่อที่ดูถูกเหยียดหยามของพวกเขาพยายามจะพิสูจน์ว่าไม่มีขอบเขต
กุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านปริกำเนิดผู้ซึ่งทำงานในสถานผดุงครรภ์ในขณะที่เกิดการระเบิดพูดความจริงที่ชัดเจนว่า “นี่คือโรงพยาบาล พวกเขาช่วยชีวิตคนที่นั่น คุณม่คนใหม่รอการคลอดลูกอยู่ที่นั่น”
มีผู้ใหญ่สามคนและเด็กหนึ่งคนเสียชีวิตในขณะที่การระเบิดเกิดขึ้น ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเสียชีวิตจากพิษบาดแผลพร้อมกับทารกในครรภ์ของเธอในวันรุ่งขึ้น
อันเป็นผลมาจากอาชญากรรมสงครามที่โหดร้ายนี้ ผู้ป่วยในสถานผดุงครรภ์ที่รอดชีวิตหลายคนถูกอพยพไปยังอาคารโรงละครกลางซึ่งทำหน้าที่เป็นที่หลบภัยชั่วคราวสำหรับประชาชนมากกว่าหนึ่งพันคนในขณะนั้น ผู้หญิงอย่างน้อยสามคนพร้อมทารกแรกเกิดถูกพาไปที่นั่นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พวกเขาไม่ได้หลบภัยอยู่ในห้องใต้ดินเพราะอากาศหนาวเย็นและชื้นซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของทารกแรกเกิดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกจัดให้อยู่ในห้องที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น นั่นคือห้องแต่งตัวของโรงละคร ซึ่งตั้งอยู่ที่ปีกขวาของอาคาร
เมื่อวันที่ 16 มีนาคมเครื่องบินรบรัสเซียได้ทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ลงตรงบนปีกขวาของโรงละคร สีงหารทุกคนที่หลบภัยในส่วนนั้นของอาคาร
นาเดียชดา ป.และลูกสาวของเธอรอดชีวิตจากการโจมตีและเป็นพยานให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายร้อยคน (อย่างน้อย 300) ที่เสียชีวิตในเหตุระเบิด
ไม่มีทหารในโรงละครเลย มีแต่เด็ก ๆ จำนวนมาก ประชาชนที่หลบภัยอยู่ที่นั่นยังเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่นอกโรงละครว่า “เด็ก” (ภาษารัสเซีย ДЕТИ) ด้วยความพยายามอย่างไร้ผลที่จะขัดขวางนักบินเครื่องบินรบของรัสเซีย แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ทิ้งระเบิดโดยไม่สนใจ พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาฆ่าผู้บริสุทธิ์
ในวันเดียวกันนั้น วันที่ 16 มีนาคม เครื่องบินรบรัสเซียได้ทิ้งระเบิดที่โรงพยาบาลทหารหมายเลข 61 ใกล้ ๆ กันนั้นมีสระน้ำสาธารณะที่มีผู้คนหลบภัยอยู่ประมาณ 600 คน ระเบิดลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ที่พักพิงชั่วคราวแห่งนี้ด้วย ยังไม่ทราบว่ามีคนถูกฆ่าตายที่นั่นกี่คน
อาชญากรรมต่อประชาชนเหล่านี้เกิดขึ้นที่มาริอูโปล ทุกวันขณะที่คุณกำลังอ่านข้อความนี้ ขณะนี้มีคำให้การมากมายเกี่ยวกับอาชญากรรมที่น่ารังเกียจเหล่านี้ เช่นเดียวกับคำให้การของอิรินา โฮบาโซวา ผู้ซึ่งเริ่มนับจำนวนการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ที่เธออาศัยอยู่ (เขตปริโมร์สกีในมาริอูโปล) วันหนึ่งเธอนับระเบิดได้ 55 ลูก ตั้งแต่เช้าจนถึง 13.00 น. แล้วเธอก็หยุดนับ
การระดมยิงและทิ้งระเบิดที่มาริอูโปลยังไม่หยุด ทุก ๆ 10-15 นาที ระเบิดหรือขีปนาวุธจะถูกปล่อยลงสู่เมือง รายงานเกี่ยวกับความโหดร้ายเหล่านี้มักฟังดูเหมือนเป็นเพียงสถิติ เนื่องจากมีตัวเลขที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่ตัวเลขแต่ละจำนวนสะท้อนให้เห็นมากขึ้นว่านี้คือชีวิตที่ถูกทำลาย บ้านและธุรกิจพังทลาย อนาคตที่สดใสและสงบสุขถูกตัดให้สั้นลง
ในการบันทึกอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ องค์กรด้านมนุษยธรรมและนักข่าวจำเป็นต้องสามารถทำงานในเมืองได้ ความปรารถนาที่จะซ่อนอาชญากรรมที่เลวร้ายเหล่านี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่กองกำลังรัสเซียซึ่งปิดกั้นเมืองในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ พวกเขาเชื่อว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้และอาชญากรรมทั้งหมดของพวกเขาอาจถูกฝังไว้ที่นั่น
แต่โชคดีที่ต้องขอบคุณการกระทำที่กล้าหาญของนักข่าว ผู้ลี้ภัย และกองทัพยูเครน เรายังคงมีหลักฐานการก่ออาชญากรรมเหล่านี้อยู่
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม เกิดการระเบิดขึ้นที่โรงเรียนสอนศิลปะในเขตลิโวเบเรชนีย์ในมาริอูโปล ซึ่งมีผู้หญิงและเด็ก 400 คนซ่อนตัวอยู่ เครื่องบินรบรัสเซียทิ้งระเบิดหนักลูกหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ทราบจำนวนผู้เสียชีวิต
น่าเสียดายที่ไม่มีนักข่าวเหลืออยู่ในเมืองที่สามารถบันทึกอาชญากรรมเหล่านี้ได้ เราเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขาจากชาวเมือง นั่นเป็นวิธีที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมร้ายแรงอีกอย่างหนึ่งของกองกำลังรัสเซียที่บังคับเนรเทศพลเมืองมาริอูโปลไปยังพื้นที่ห่างไกลของรัสเซียนี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่บาดใจ ทหารรัสเซียเนรเทศเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่ชื่อคิระ โอเบดินสกา เพื่อยึดครองโดเนตสก์ ปู่ของเธอ โอเล็กซานเดอร์ โอเบดินสกี เป็นโค้ชที่มีชื่อเสียงของทีมชาติยูเครนและเขากำลังรอเธออยู่ที่ยูเครน เยฟเฮน ลูกชายของเขาเป็นแชมป์โปโลน้ำของยูเครน เขาเสียชีวิตในมาริอูโปลอันเป็นผลมาจากการระดมยิงของรัสเซียเมื่อวันที่ 17 มีนาคม คิระอยู่กับพ่อของเธอตอนที่เขาเสียชีวิตและเมื่อชาวรัสเซียยึดครองส่วนของเมืองที่เธออาศัยอยู่ พวกเขาจึงพาเธอและบังคับให้เธอย้ายไปโดเนตสก์ ซึ่งขณะนี้พวกเขากำลังเตรียมเอกสารของเธอสำหรับการเนรเทศไปยังรัสเซียต่อไป
คำให้การอื่น ๆ บอกว่าชาวรัสเซียเนรเทศเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำเมืองหมายเลข 1 และ หมายเลข 4 และสถานผดุงครรภ์หมายเลข 2 อย่างไร
อันดรีย์ โวโลชินอาศัยอยู่ในมาริอูโปลไม่สามารถใจเย็นได้เมื่อเขาได้ยินสถิติอย่างเป็นทางการของผู้เสียชีวิตใน มาริอูโปล “ผู้เสียชีวิต 5,000 คน? นั่นไม่ใช่อย่างนั้แน่! ในหลุมหลบภัยที่ผมซ่อนชาวมาริอูโปล 50 คนเสียชีวิตหลังจากถูกระเบิดโดยทันที! และระเบิดดังกล่าวตกลงมากี่ลูก? มีหลุมหลบภัยแบบนั้นกี่หลุม? 90% ของอาคารในมาริอูโปลถูกทำลายหรือเสียหาย”
“ผู้คนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับศพ ดังนั้นพวกเขาก็แค่วางมันไว้บนระเบียง ระเบียงนับร้อยกลายเป็นสุสาน!”
ให้การเป็นพยานที่อาศัยอยู่ในมาริอูโปล คาเทรินา อิลเชนโก
เราจะรู้ขนาดที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็ต่อเมื่อยูเครนปลดปล่อยมาริอูโปลและขับไล่รัสเซียออกไป ปัจจุบันชาวเมืองมาริอูโปลหลายพันคนกำลังค้นหาญาติ เพื่อนฝูง และคนที่พวกเขารัก แต่ไม่ช้าก็เร็วซากศพของพวกเขาริมถนน, ระเบียง และในหลุมศพจำนวนมากจะเริ่มระบุชื่อกลับคืนมา
จากนั้นขุมนรกอันมืดมิดของโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะเปิดออกให้เราทุกคนได้เห็นและแสวงหาความยุติธรรม
อันนา มูรลิคินา หัวหน้าบรรณาธิการของ 0629.com.ua